ร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง
High Coat วิตามินบำรุงขน สำหรับสัตว์เลี้ยง
เกร็ดน่ารู้
เคล็ดไม่ลับเปิดร้าน Pet Shop 5 แบบยอดฮิต
ตอนนี้ไม่ว่ามองไปทางไหนก็มีแต่ร้าน Pet Shop แทบทั่วทุกถนน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เปิดแล้วจะประสบความสำเร็จเสมอไป มีปัจจัยหลายอย่างที่จะช่วยให้อยู่รอดได้ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดีอย่างปัจจุบัน วันนี้ Petcitiz มีเทคนิคเคล็ดลับมาแนะนำ สำหรับคนที่กำลังมองหาลู่ทางในการเปิดร้าน Pet Shop กันค่ะ
ธุรกิจ Pet Shop หรือธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงซึ่งมีหลายประเภท มีความแตกต่างกันในเรื่องการจัดการพอสมควร เราควรเลือกทำประเภทที่เหมาะกับสถานที่ เงินทุน และความถนัด ส่วนเรื่องทำเลเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน ควรเลือกร้านที่อยู่ริมถนนในแหล่งชุมชน หรือจะเป็นตึกแถว มีที่จอดรถเผื่อไว้สำหรับลูกค้า เพื่อดึงคนที่มาใช้บริการร้านละแวกนั้น อย่าเลือกทำเลที่อยู่ไกลชุมชนเกินไป Pet Shop มีหลายประเภท หากจะเลือกลงทุนทำธุรกิจควรพิจารณาให้ดีว่าแบบไหนเหมาะกับเรา โดยรวมแล้วสามารถแบ่ง Pet Shop เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ดังนี้
1. ขายอุปกรณ์สำหรับสัตว์ เช่น แชมพูต่างๆ ปลอกคอ สายจูง กรง ตู้ปลา ของเล่น ชุด ส่วนนี้เป็นส่วนที่มีกำไรมากที่สุด รองจากการอาบน้ำตัดแต่งขน จะว่าไปแล้วเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้าตามแฟชั่น ลูกค้าจะซื้อด้วยความพอใจ และไม่เกี่ยงเรื่องราคา แต่ก็ต้องระวังเรื่องการเลือกสินค้ามาขายในร้านให้ดี ควรศึกษาว่าขณะนั้นมีอะไรฮิตหรือเป็นที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้าจำนวนมาก แต่ควรมีสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า พยายามหาช่องทางขายอื่นๆ เสริม เช่น ช่องทางออนไลน์ที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทาง แต่เราเสนอขายได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์
2. ขายอาหารสัตว์ ทั้งอาหารสำเร็จรูป อาหารสด อาหารประจำ และอาหารเสริม ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีที่สุด เพราะสัตว์ต้องกินทุกวัน การขายอาหารสัตว์กำไรมีไม่มากนัก เนื่องจากเกิดการแข่งขันตัดราคากัน กำไรจากส่วนนี้จึงมีน้อย พยายามหมุนเวียนสินค้าให้เร็วที่สุด อย่าค้างนาน เพราะอาหารสัตว์หมดอายุเร็ว ไม่จำเป็นต้องสต๊อกสินค้า จะทำให้เงินจม ปัจจุบันอาหารสัตว์มีหลายเกรด ผู้ขายต้องศึกษา และจัดวางกลุ่มลูกค้าให้เหมาะสม อย่าหลงกลไปกับโปรโมชั่นที่บริษัทผู้จำหน่ายอาหารจัดมาล่อใจเจ้าของร้านอย่างเรา เช่น การล่อหลอกให้ซื้อปริมาณมากขึ้น เพื่อได้รับส่วนลด หากเราไม่สามารถสั่งสินค้าได้มากเท่าที่เขากำหนดตามโปรโมชั่น ทำให้มีสินค้าคงคลังอยู่มาก เราก็จะเสียโอกาสที่จะได้รับส่วนลดไปด้วย แต่ในทางกลับกัน ถ้าสั่งสินค้าเข้ามามากเกินกว่าจะขาย สินค้าหมดอายุเราก็ต้องทิ้ง หรือขายออกไปในราคาถูก กลายเป็นว่ามีเรื่องต้นทุนที่แฝงเข้ามาอีก ซึ่งอาจแพงกว่าซื้ออาหารในราคาปกติ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การขออนุญาตกับกรมปศุสัตว์เรื่องการสะสมอาหารเพื่อจำหน่าย อาหารสำหรับสุนัขและแมว ต้องมีทะเบียนด้วยนะคะ ไม่ใช่ว่าซื้อมาขายโดยไม่แจ้งทางราชการ
3. ขายพันธุ์สัตว์ ทั้งแบบสั่งจองล่วงหน้า แบบฝากขาย จะมีความยุ่งยากกว่าการขายอุปกรณ์และอาหาร เพราะสัตว์ต้องกินอาหารและขับถ่าย ต้องดูแลความสะอาด ให้สัตว์ออกกำลังกาย ต้องดูแลเรื่องโรคติดต่อต่างๆ ต้นทุนของสัตว์ก่อนขายจึงเพิ่มขึ้นมากกว่าการขายสินค้าชนิดอื่น เพราะเราต้องจ่ายค่าอาหารทุกวัน ถ้าขายได้ช้า ต้องบวกราคาต้นทุนมากขึ้น การตั้งราคาขายสัตว์จึงต้องตั้งราคาให้ครอบคลุมถึงต้นทุนเหล่านี้ด้วย แต่ถ้ากำหนดราคาขายสูงเกินไป ก็ขายลำบาก ดังนั้น จึงต้องหาวิธีบริหารต้นทุนให้ดี อาจใช้วิธีฝากขายโดยกำหนดแบ่งราคาขายกัน โดยเฉพาะเมื่อขายได้ เช่น 30 % หรือ 50 % แล้วแต่ความยากง่ายของการขาย แต่ถ้าขายไม่ได้ต้องขอเก็บค่าเลี้ยงดู เช่น 15 % ของราคาขาย นอกจากนี้ควรรับประกันระยะเวลา คือ ภายในระยะเวลา 7 วัน หากสัตว์ป่วยแล้วตาย ทางร้านควรเปลี่ยนตัวใหม่หรือคืนเงินให้
4. เสริมสวยตัดแต่งทรงขน (grooming) หรือ การอาบน้ำตัดแต่งทรงขนสัตว์เลี้ยง เป็นประเภทของ Pet Shop ที่ได้กำไรดีมาก ทั้งยังใช้เนื้อที่ไม่มาก หากเจ้าของร้านทำเองก็จะยิ่งควบคุมคุณภาพ และค่าใช้จ่ายได้ดี ช่างตัดขนต้องผ่านการอบรม และมีประสบการณ์มาก่อน ต้องใช้ความอดทน ใจเย็น รู้จักวิธีหลอกล่อให้สัตว์อยู่นิ่งๆ ต้องมีเทคนิคการจัดการ มิฉะนั้นอาจเกิดบาดแผลบนตัวสัตว์เลี้ยงแสนรักของลูกค้าได้ อุปกรณ์การตัดแต่งขนต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ บริการที่ดี เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่เจ้าของ
5.รับฝากสัตว์เลี้ยง เมื่อเจ้าของจำเป็นต้องเดินทาง แต่ก็ห่วงที่ไม่มีใครดูแลสัตว์เลี้ยงแสนรัก จึงเกิดธุรกิจนี้ขึ้นมา โดยจะรับฝากไว้เลี้ยงดู ให้อาหาร และมีการจัดการที่ดี โดยต้องแบ่งพื้นที่อย่างเหมาะสม สถานที่กว้างขวาง จัดแบ่งเป็นห้อง หรือคอกให้เหมาะสม ปรับตามขนาดสัตว์ได้หลายขนาด สะอาดและน่าอยู่ เจ้าของก็จะสบายใจว่าพามาฝากแล้วไม่ต้องเป็นห่วง และยินดีที่จะจ่ายค่าบริการให้เราเพิ่มอีก
ไม่ว่าจะเลือกทำร้าน Pet Shop แบบไหนก็ตามสิ่งที่จำเป็นในการเปิดร้านด้านอื่นๆ คือการทำบัญชีที่รัดกุม ความสะอาดของร้าน การประชาสัมพันธ์ถึงโปรโมชั่นต่างๆ การเปิดช่องทางขายอื่นๆ ให้เข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด ความใส่ใจในงานที่ทำ ความใฝ่รู้ขยันศึกษาหาอะไรใหม่ๆ เพิ่มเติม หากไม่ถนัดเรื่องไหน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง และท้ายที่สุด ต่อให้ร้านน่าเข้า หรือโลเคชั่นดีแค่ไหน แต่ถ้าขาดการบริการที่ดี และความเอาใส่ใจ อาจทำให้ธุรกิจของคุณไม่ก้าวไปข้างหน้าได้นะคะ