แม้ทางรัฐบาลจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาเรื่องช้างเร่ร่อนตามเมืองใหญ่เพื่อขอทานได้แล้วก็ตาม แต่สื่อต่างชาติรวมทั้งนักอนุรักษ์สัตว์ป่ายังมองว่า ช้างในไทยก็ควรจะต้องได้รับการดูและปกป้องมากกว่าที่เป็นอยู่…
ถึงจะมีการแก้ปัญหาเรื่องช้างเร่ร่อนตามเมืองใหญ่ๆ ได้สำเร็จ โดยทำการจดทะเบียนช้างซึ่งจะมีการดำเนินการคล้ายกับทำบัตรประชาชนของคน และการฝังไมโครชิพ ซึ่งจะนำช้างที่ได้ดำเนินการแล้วนั้น ส่งไปทำงานยังศูนย์ฝึกช้างต่างๆทั่วประเทศ เช่น โชว์การแสดงให้นักท่องเที่ยวชม หรือนำนักท่องเที่ยวเดินป่า เพื่อสร้างอาชีพทางเลือกให้กับควาญช้าง แต่ทว่า หนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ของสิงคโปร์รายงานว่า ช้างที่มีเจ้าของเหล่านี้ยังคงถูกล่ามโซ่และ ยังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบาก นอกจากนั้นยังมีปัญหาการจับช้างป่า ออกมาเป็นช้างบ้าน
โดยมีมาตรการป้องกันการนำลูกช้างที่ถูกจับในป่ามาใช้งาน ด้วยการออกกฎให้ช้างบ้าน รวมทั้งช้างที่เกิดใหม่ทุกเชือกจะต้องได้รับการ เข้าตรวจสอบรูปพรรณและฝังไมโครชิพ เพื่อทำ “ตั๋วรูปพรรณ” ให้ช้างบ้านแต่ละเชือก เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีการนำช้างป่ามาสวมสิทธิ์ได้นั่นเอง แต่ที่ผ่านมาก็ยังพบว่า มีการสวมตั๋วรูปพรรณช้างป่าจำนวนมาก ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากนายจอห์น โรเบิร์ท ผู้อำนวยการมูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ โดยให้สัมภาษณ์กับทางหนังสือพิมพ์สเตรทไทมส์ว่า เจ้าของปางช้างหลายแห่งสลับไมโครชิพไปมาระหว่างช้างหลายเชือก เพื่อทำให้ช้างป่าที่ถูกจับมากลายเป็นช้างบ้านที่ถูกกฎหมายอีกด้วย นายโรเบิร์ทเล่าต่อว่า”ช้างบางเชือกที่เคยถูกฝังไมโครชิพมากกว่า 1 อัน และมีการสลับไมโครชิพไปให้ช้างเชือกอื่น นอกจากนี้เวลาที่ช้างล้ม ก็จะมีการถอดไมโครชิพจากช้างที่ล้มแล้วมาใส่ให้ช้างเชือกใหม่เพื่อสวมสิทธิ์” และ นอกจากการฝังไมโครชิพแล้ว ทางรัฐบาลยังมีมาตรการจดทะเบียนทางพันธุกรรม หรือดีเอ็นเอช้างบ้านทุกเชือก ซึ่งได้เริ่มใช้เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2016 โดยได้ระบุว่าช้างทุกเชือกที่เกิดใหม่ ต้องได้รับการตรวจดีเอ็นเอภายในเวลา 90 วัน เพื่อแยกพวกมันออกจากช้างป่า แต่ทางปางช้างกลับได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องนำช้างเกิดใหม่ไปตรวจดีเอ็นเอ จนกว่าพวกมันจะมีอายุได้ 8 ปี ซึ่งเป็นช่องโหว่ให้มีการจับช้างป่าอายุน้อยๆ มาสวมรอยเป็นช้างบ้านเพื่อใช้งานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
โดยนายโรเบิร์ทกล่าวต่อว่าการตรวจดีเอ็นเอนั้น เป็นวิธีที่ระบุอัตลักษณ์ของช้างได้ดีที่สุด เพราะว่าไม่สามารถปลอมแปลงได้ และมีความแม่นยำสูงอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยากไปสักนิดในการบันทึก และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉลี่ยค่าใช้จ่ายการตรวจดีเอ็นเอช้าง 1 เชือกอยู่ที่ราว 5,000 บาท โดยขณะนี้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กำลังเร่งตรวจสอบดีเอ็นเอช้างบ้านที่มีอยู่ราว 3,500 เชือกทั่วประเทศ แต่ควาญช้างส่วนหนึ่งในไทยก็กล่าวหาว่าขั้นตอนการตรวจ ดีเอ็นเอของเจ้าหน้าที่นั้นไม่ได้มาตรฐาน หลังจากที่ควาญช้างบางคนถูกยึดช้าง เนื่องจากผลการตรวจดีเอ็นเอที่ออกมาระบุว่าช้างเหล่านั้นถูกสวมสิทธิ์และมีการปลอมแปลงตั๋วรูปพรรณแต่ไทยก็ยังมีปัญหาเรื่องของการใช้งานช้างและเลี้ยงอย่างไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการทารุณกรรม หรือการบังคับให้ทำงานหนัก จนช้างมีสุขภาพทรุดโทรมและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยพบว่าช้างเลี้ยงในไทยหลายเชือกมีปัญหาทางร่างกายติดเชื้อ และในส่วนของการฝึกลูกช้างสำหรับการแสดงนั้น ก็มีการฝึกช้างให้ทำท่าฝืนธรรมชาติ เช่น
การยืนสองขา นั่ง หรือการเดินบนที่แคบๆ ซึ่งอาจทำให้ได้รับบาดเจ็บจนพิการหรือเสียชีวิตได้ ปัญหาเหล่านี้ ยังคงต้องได้รับการแก้ไขต่อไป
ที่มา http://www.winnews.tv/news/14514